วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รำโทนโพหักกลับฟื้นโดยครูหรั่ง

รำโทน(โพหัก)
รำโทน(โพหัก) เป็นการแสดงพื้นบ้านหรือการละเล่นพื้นบ้าน ของชุมชนบ้านโพหัก ตำบล โพหัก อำเภอ บางแพ จังหวัด ราชบุรี ซึ่งการละเล่นนี้มีมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลก ครั้งที่ 2 ลักษณะการเล่น จะมีผู้แสดงดังนี้
1. มีพ่อเพลง แม่เพลง ร้องเพลง
2. มีเครื่องดนตรี คือ โทน ฉิ่ง ฉาบ กรับ ประกอบจังหวะในการร้องเพลง
3. ผู้แสดง ชาย - หญิง รำกันเป็นคู่ ๆ เดินรำกันเป็นวง
รำโทน(โพหัก) จะมีลักษณะโดดเด่น การรำจะไม่เหมือนรำโทนทั่วไปก็ตรงที่ผู้รำ
จะรำตามท่าทางของเนื้อเพลง โดยคู่ชาย –หญิง จะรำเกี้ยวพาราสีกัน หยอกล้อกัน โดยแสดงออกทางสีหน้าท่าทางให้ผู้ชมเห็นได้ชัด และเนื้อเพลงที่ร้อง ก็จะเป็นเพลงที่บรรพชนของคนโพหักแต่งเอาไว้ โดยเนื้อเพลงจะเป็นเอกลักษณ์ของเฉพาะถิ่น ไม่เหมือนกับเพลงที่ไหน เนื้อเพลงจะแต่งจากการอ้างอิงจากธรรมชาติ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
รำโทน(โพหัก) ได้หายไปประมาณ 50 ปี อาจจะเนื่องด้วยความเจริญของบ้านเมือง และมีการละเล่นอื่นมีมากขึ้น ทำให้เพลงรำโทนหายไป
อาจารย์มณฑิตย์สา มั่นฤกษ์ ครู โรงเรียนชุมชนวัดใหญ่โพหัก ซึ่งเป็นลูกเกิดโพหัก
ได้ทำการขุดค้น ศึกษาหาข้อมูลจากคนเฒ่าคนแก่ที่ยังพอจำเรื่องราวได้ และรวบรวมเนื้อเพลงรำโทนมาฝึกร้องฝึกรำ โดยใช้กลุ่มผู้สูงอายุโพหัก ทำให้เพลงรำโทนโพหักได้กลับฟื้นคืนมา ในปี พ.ศ.2534 และได้นำแสดงในงานเที่ยวราชบุรี ปี 2001 ได้รับการตอบรับจากผู้ชม และจากสถาบันการศึกษาให้ความสนใจ สำนักวัฒนธรรมจังหวัดราชบุรี ให้มหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง มาถ่ายทำเป็น วี.ดี.โอ ต่อจากนั้นก็ได้นำไปเผยแพร่ในระดับมหาวิทยาลัยอีกหลายแห่ง รวมถึงสื่อมวลชนต่าง ๆ มาให้ความสนใจ ขอถ่ายทำเป็นสารคดีออก ที.วี. ทุกช่อง
อาจารย์มณฑิตย์สา มั่นฤกษ์ เริ่มฝึกตั้งผู้สูงอายุ จนถึงเด็ก รวมทั้งชาวบ้าน ทั้ง 11 หมู่บ้าน ในตำบล โพหัก ได้ฝึกรำโทนกันหมด ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน อาจารย์มณฑิตย์สา มั่นฤกษ์ ได้ริเริ่มจัดงานฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทยพื้นถิ่น และมีการประกวดรำโทนในหมู่บ้าน ทุกปี ซึ่งถือว่าเป็นการสืบสานและอนุรักษ์ศิลปะพื้นบ้านของเรานั้น เพราะในปัจจุบันหลายชุมชนที่มีวัฒนธรรมพื้นบ้านแต่ขาดผู้สืบสาน ซึ่งทำให้วัฒนธรรมเหล่านั้นได้จางหายไปกับผู้สูงอายุ ขาดการสานต่อ ในการถ่ายทอดให้แก่เยาวชนรุ่นหลัง ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายที่สุดเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่สามารถซื้อหาได้ด้วยเงินตรา แต่ได้มาจากความรักและความหวงแหนในถิ่นกำเนิดของตน วัฒนธรรมเหล่านี้จึงจะสามารถอยู่และไม่จางหายไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น